วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

'สท.' เร่งยกระดับตัวชี้วัดพัฒนาเด็กปฐมวัย


สท.เร่งพัฒนาตัวชี้วัดการพัฒนา-คุ้มครองเด็กปฐมวัย ให้เป็นรูปธรรม ชี้ให้สนใจผลลัพธ์หลังจากพัฒนา เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด....

เมื่อวันที่ 17 ก.พ.57 สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ (สท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดสัมมนาวิชาการ ตัวชี้วัดของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ตัวชี้วัดการพัฒนาเด็กปฐมวัยและการคุ้มครองเด็กปฐมวัย เพื่อพัฒนาเครื่องมือในการประเมินการทำงานด้านสิทธิเด็ก และถอดรหัสอนุสัญญาสิทธิเด็กนำไปสู่การปฏิบัติที่ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ

นางระรินทิพย์ ศิโรรัตน์ ผู้อำนวยการ สท. กล่าวว่า ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญา ว่าด้วยสิทธิเด็กขององค์การสหประชาชาติในปี 2535 ซึ่งเป็นเครื่องรับประกันว่า เด็กทุกคนต้องได้รับสิทธิด้านต่างๆ เช่น สิทธิที่จะมีชีวิตรอด สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา สิทธิที่ในการมีส่วนร่วม และสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองให้รอดพ้นจากการถูกทำร้าย การล่วงละเมิด การละเลย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยพยายามดำเนินการตามข้อกำหนดของอนุสัญญามาตลอด รวมถึงในการสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ ถือเป็นการระดมความคิดเห็นจากผู้มีความรู้ด้านเด็ก เพื่อปรับปรุงตัวชี้วัด ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินความก้าวหน้าในการทำงานด้านสิทธิเด็ก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น
รศ.ดร.สายสุรี จุติกุล นักวิชาการด้านสิทธิเด็กและสตรี กล่าวว่า ประเทศไทยมีการจัดทำตัวชี้วัดด้านเศรษฐกิจที่เปรียบเทียบตัวเลขแต่ละไตรมาส ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการดูเทรน และคาดการณ์ถึงเศรษฐกิจในอนาคตได้ ขณะที่ตัวชี้วัดด้านสังคมนั้นยังน่าเป็นห่วง เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งมีการเคลื่อนไหวต่างๆ มากมาย ทำให้ตัวชี้วัดด้านสังคมในหลายด้านยังมีปัญหาและไม่ชัดเจน รวมถึงยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่องเด็ก ซึ่งเห็นได้จากที่ผ่านมาว่ายังคงเน้นแต่ปัจจัยการนำเข้า หรือการปรับปรุงกระบวนการต่างๆ เช่น การจัดอบรมครู หรือให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่จะทำกับเด็กมากกว่า แต่ไม่สนใจผลลัพท์ที่ออกมา ดังนั้น จะต้องให้ความสำคัญกับผลลัพท์ที่ออกมาด้วย เช่น เรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็กที่ตกต่ำ ก่อนจะค่อย ๆ หาสาเหตุไปทีละขั้นตอน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องสิทธิเด็กดูเหมือนเป็นเรื่องนามธรรม และเด็กมีการพัฒนาระหว่างวัยที่แตกต่างกัน ดังนั้น จะกำหนดเป็นสูตรสำเร็จนั้นยาก เนื่องจากเป็นเรื่องที่ซับซ้อนที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ รวต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันพัฒนาเด็กไทยให้มีคุณภาพ
ด้าน ดร.ฟิลิปส์ คุก ผู้อำนวจการสถาบันระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิเด็กและการพัฒนา (IICRD) กล่าวว่า เด็กเป็นวัยที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงในช่วงชีวิตต่างๆ จึงเป็นเรื่องท้าทายในการกำหนดตัวชี้วัดปกป้องเด็กในวัยต่างๆ โดยเฉพาะเด็กปฐมวัยที่จะต้องมองไปถึงตั้งครรภ์ 0-1 ขวบด้วย และต้องเน้นความเชื่อมโยงไปถึงเรื่องของสิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม การปกป้องสิทธิในสังคม รวมถึงกรอบของสภาพแวดล้อมด้วย และที่สำคัญต้องให้เด็กมีส่วนร่วมในการกำหนดสิทธิของตัวเด็กเองด้วย ไม่ใช่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่กำหนดให้เด็กเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งต้องให้เด็กมีส่วนร่วมเรียกร้องสิทธิตัวเอง.

ลุยผลักดันศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป็น 'ศูนย์ต้นแบบด้านปฐมวัย'


อปท.ลุยผลักดันศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นศูนย์เรียนรู้และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบด้านปฐมวัย ชี้รากฐานของชาติคือ ปฐมวัย โดยมี ศพด. เป็นมือแรกที่ลงสีบนผ้าขาว...

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมสรุปผลการดำเนินงานและจัดนิทรรศการแสดงผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมศักยภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาเด็กปฐมวัย จำนวน 23 ศูนย์ 23 จังหวัด ตลอดระยะเวลา 1 ปี และชวนคิด กำหนดทิศทางความพร้อมในการเป็นศูนย์เรียนรู้และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบด้านปฐมวัย ที่โรงแรมภูเขางามพาโนรามา อ.เมือง จ.นครนายก
โดยนางยิษฐา แว่วศรี ผู้อำนวยการสำนักประสานและพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า ขอชื่นชมความสามารถและศักยภาพในการจัดการศึกษาของ ศพด. ทั้ง 23 แห่ง จาก ศพด.กว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ ที่อยู่ในการดูแลของ อปท. หากเทียบเป็นสัดส่วนยังน้อยอยู่มาก จึงถือว่าเป็นตัวแทนนำร่องการพัฒนาให้เป็นต้นแบบ ซึ่งต้องอาศัยขั้นตอน กระบวนการ ผ่านการลองผิดลองถูก และการประสานความร่วมมือในการดำเนินงานหลายอย่าง ด้วยความคาดหวังของ อปท. ต้องการให้ ศพด.พัฒนาไปด้วยกัน แต่การพัฒนาไปด้วยกันจะต้องมีองค์ประกอบในด้านศักยภาพของผู้บริหาร ชุมชน ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งศักยภาพของแต่ละคนก็ต่างกัน ดังนั้น ทุกคนจึงควรภูมิใจที่สามารถเป็นต้นแบบได้ และขอให้ ศพด. ชุมชน นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความตระหนักในสิ่งที่เป็นตัวแทนรักษาคุณภาพเพื่อเป็นต้นแบบที่ดีให้เพื่อนๆ น้องๆ มาศึกษาดูงาน
"กรมฯ พยายามขยายผลให้มีศูนย์ต้นแบบมากขึ้น ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกับกรมฯ ช่วยกันขยายผลออกไปให้มีมาตรฐานเหมือนกัน เพราะเมื่อพูดถึง ศพด.ในฐานะลงเรือลำเดียวกันแล้ว จึงต้องพยายามให้ ศพด.มีมาตรฐาน หากศูนย์ใดยังไม่ได้มาตรฐานก็ต้องให้ศูนย์ที่มีมาตรฐานไปเป็นพี่เลี้ยง เปิดใจกว้างเพื่อนช่วยเพื่อน ถือระบบความสมานฉันท์ ซึ่งแน่ใจว่าครูผู้ดูแลเด็กเล็กของ ศพด.ทุกคนมีเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว ครูเป็นอาชีพที่มีบุญกับเด็กส่วนรวมและประเทศ ทุกคนต้องมีจิตวิญญาณความเป็นครู เพราะครูที่ดีคือครูที่รักเด็ก หากเปรียบเด็กเป็นผ้าขาว ครูผู้ดูแลเด็กจึงเป็นครูคนแรกที่วาดภาพลงสีให้บรรเจิดอย่างไรก็ได้ เป็นผู้ฝังรากลึกสิ่งต่างๆ ด้วยการจัดกิจกรรม อบรมเด็กที่ต้องเน้นความเป็นคนดี มีศีลธรรม มีสุขภาพกาย ให้เป็นเด็กที่สะอาดตั้งแต่วัยเด็กเล็ก เพื่อให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีสู่สังคม จงภูมิใจและรักษาความดีเหล่านี้ไว้" นางยิษฐา กล่าว
ด้าน ดร.เสาวคนธ์ จันทร์ผ่องศรี ศึกษานิเทศก์ เทศบาลเมืองชลบุรี และคณะทำงานวิชาการ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจากการรายงานผลการดำเนินงาน 1 ปี ได้บทเรียนที่กระชับ รัดกุม ง่ายต่อการเรียนรู้ และนำไปปฏิบัติตามได้ จึงเป็นการพัฒนาแบบไม่รู้ตัว ขอให้ทุกคนภูมิใจที่ได้ทำงาน เห็นคุณค่างานที่ได้ปฏิบัติ เพราะฐานที่ดีในการทำงานต้องเริ่มจากการศึกษา ซึ่งเป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ การทำงานกับเด็กเล็กเหน็ดเหนื่อย เอาลูกเขามาเลี้ยง หย่านมก็มาสู่ครูพี่เลี้ยง ดังนั้น ครูผู้ดูแลเด็กจึงต้องทำให้เด็กมีความสุข มีพัฒนาการ รอบรู้ในทุกด้าน และสิ่งสำคัญต้องนำระบบการพัฒนาเข้ามาใช้
"ทุกคนต้องช่วยกัน เพราะ ศพด.คือรากฐานการศึกษา คือแกนนำของพื้นที่ ผมเชื่อมั่นในความรู้ ความสามารถ ความตั้งใจของผู้บริหารท้องถิ่น การทำงานเป็นกระบวนการจะทำให้สามารถมองภาพงานออกจะไม่ยาก และอย่าลืมว่าเรามีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกว่า 20,000 แห่ง บางศูนย์มีครูแค่ 2 คน ซึ่งต้องเข้าไปช่วย เพราะการศึกษาต้องพัฒนาแบบยกระดับไปด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งกัน แต่อยู่ที่ทุกคนว่าจะนำองค์ความรู้มาพัฒนาให้เกิดคุณภาพได้อย่างไร อีกทั้งขณะนี้ มีองค์กร หน่วยงานที่ลงมาทำงานกับ ศพด.จำนวนมาก ทำให้มีภาระงานทั้งงานปกติและงานพิเศษเยอะมาก ดังนั้น หัวหน้าศูนย์ ต้องเป็นผู้นำขับเคลื่อนให้ครูพี่เลี้ยง ผู้ปฏิบัติงานสร้างจุดแข็งรับมือให้ได้ อย่ารอผู้บริหารสั่ง ไม่สั่งไม่ทำ ซึ่งไม่ใช่บริบทของการทำงาน แต่หากมีความพร้อมมีการเตรียมการอยู่เสมอจะไม่ถูกกดดัน จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารท้องถิ่น และ ศพด.ในการพัฒนาเด็กให้เป็นคนดีของสังคมและทำให้เด็กรักท้องถิ่น ไม่หนีบ้านเกิด จะช่วยลดปัญหาสังคมได้มาก" นายวีระชาติ ทศรัตน์ ผอ.ส่วนส่งเสริมการศึกษานอกระบบฯ กล่าว

สร้างรากฐานคุณภาพเด็กปฐมวัย

เมื่อเร็วๆ นี้ คณะศึกษาศาสตร์ ม.มหาสารคาม สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย ม.หอการค้า ม.มหาสารคาม และองค์การบริหารส่วนตำบลทั้ง 24 แห่ง ในเขต จ.มหาสารคามและกาฬสินธุ์ ร่วมกันยกระดับคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเพื่อให้สามารถพัฒนาเด็กและเยาวชนยากจนในพื้นที่ชนบทอย่างสมวัย ใน "โครงการลดความเหลื่อมล้ำด้วยการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพ"

นายเสฐียรพงศ์ มากศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า จังหวัดเห็นความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะเด็กเล็กซึ่งเป็นกำลังสำคัญของประเทศ ปัจจุบันมหาสารคามมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้งสิ้น 371 ศูนย์ มีจำนวนเด็กเล็ก (2-5 ปี) 17,858 คน "30 ปีที่ผ่านมาประเทศสูญเสียโอกาสในการพัฒนาคนมาตลอด เพราะการเน้นพัฒนาโครงการสร้างพื้นฐาน ทำให้คนไทยสูญเสียโอกาสในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การร่วมมือกันของ24 อบต.จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาคน จังหวัดจะคอยส่งเสริมสนับสนุนนำร่องศูนย์ฯ ให้ครอบคลุมทุก อบต.โดยคาดหวังให้เกิดศูนย์เด็กเล็กมีคุณภาพ ครูและท้องถิ่นจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการหนุนเสริมให้การพัฒนาเด็กปฐมวัยประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น"

ผศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง หัวหน้าโครงการลดความเหลื่อมล้ำด้วยการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพ กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สำคัญคือการให้น้ำหนักที่การดูแลเด็กตั้งแต่ปฐมวัย ซึ่งเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและถือเป็นการลงทุนด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างคุ้มค่าที่สุด จากงานวิจัยของ ศ.เจมส์ เฮ็กแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ได้ศึกษาการใช้กระบวนการไฮสโคปเพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่เด็กในระดับปฐมวัยชี้ให้เห็นว่า การลงทุนใน 1 บาท จะได้ผลประโยชน์คืนกลับต่อผู้เข้าร่วมโครงการและสังคมประมาณ 7-12 บาท จึงได้ร่วมกันพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจำนวน 50 แห่ง ในเขต จ.มหาสารคามและกาฬสินธุ์ ซึ่งถือเป็นภาพสะท้อนที่ดีที่สุดของชนบทในประเทศไทย ครอบคลุมเด็กปฐมวัยอายุ

ระหว่าง 2-4 ปี จำนวน 2,000 คน ตลอดจนการจัดทำฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนในช่วงปฐมวัยแบบต่อเนื่อง

"จ.มหาสารคามเป็นภาพสะท้อนของความเป็นชนบทไทยที่ดี จากการเก็บข้อมูลพบว่า เด็กจำนวนมากถึง 42.17% ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ หรือเรียกว่า ภาวะพ่อแม่ห่างลูก ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 30% ภาวะนี้จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจึงทำหน้าที่สร้างช่วงเวลาที่มีคุณภาพอย่างน้อย 6 ชม./วัน ในการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ที่จะพัฒนาไปสู่ต้นทุนชีวิตและคุณภาพชีวิตในอนาคต" ผศ.ดร.วีระชาติ กล่าว

ดร.สุดาเรศ ศิริสิทธิ์ธนภาค อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า หัวใจของกระบวนการเรียนรู้แบบไฮสโคปเน้น 3 ขั้นตอนสำคัญ คือ 1.การวางแผน (Plan) เพื่อให้เด็กได้รู้จัก กำหนดเป้าหมาย ทำงานอย่างเป็นระบบก่อนลงมือปฏิบัติ 2.การลงมือปฏิบัติ (Do) เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักสำรวจ สร้างสรรค์จินตนาการ รู้จักเข้าสังคมและทำงานเป็นกลุ่ม และ 3.การนำเสนอ (Review) เพื่อทบทวนกิจกรรมที่ได้ลงมือปฏิบัติด้วยการนำเสนอหน้าชั้นเรียน ซึ่งเป็นการ ฝึกการสื่อสารจากการเล่าประสบการณ์ เด็กจะกล้าแสดงออก รู้จักคิดตั้งคำถามและเป็นผู้ฟัง ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการสร้างทักษะเชิงพฤติกรรมให้สมบูรณ์

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเศรษฐศาสตร์การศึกษา สสค. กล่าวว่า ผลสำรวจของเวิลด์อีโคโนมิค ฟอรัม (2016) ระบุว่า ทักษะด้านพฤติกรรม (Non-cognitive Skills) เช่น ความรับผิดชอบ ความมีวินัย ความมุ่งมั่นตั้งใจ ความคิดสร้างสรรค์ และการคิดวิเคราะห์ กำลังเป็นทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการอย่างสูงในตลาดแรงงานในปี 2020 ซึ่งทักษะเหล่านี้จะส่งผลให้เด็กประสบความสำเร็จ 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการศึกษา 2) ด้านพฤติกรรมเชิงบวก 3) ด้านสุขภาวะที่ดี และ 4) ด้านความสำเร็จในอาชีพ ดังนั้นการลงทุนในช่วงปฐมวัยจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและสอดรับกับทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการในโลกอนาคต

นางทิพย์สุดา สุเมธเสนีย์ คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เห็นความพยายามของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้ได้คุณภาพด้วยการพัฒนาครูและสถานที่ นอกจากนี้คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติได้มีคณะอนุกรรมการ ซึ่งดูเรื่องมาตรฐานของศูนย์เด็กและมาตรฐานการเลี้ยงดูเด็ก ตลอดจนองค์ความรู้ในการพัฒนาเด็กเล็กแต่กลับพบว่าเมื่อมาถึงปลายทางกลับเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะความไม่เข้าใจของครูผู้ดูแลเด็กเล็กและผู้รับผิดชอบศูนย์ ดังนั้นความร่วมมือของคนในพื้นที่จึงเป็นสิ่งสำคัญ เชื่อว่าหากทุกมหาวิทยาลัยลุกขึ้นมาสนับสนุนเพื่อให้เป็นความรู้ที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับที่ จ.มหาสารคาม ก็จะเกิดการกระเพื่อมสู่การเปลี่ยนแปลงได้

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/bmnd/2367061

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

นิทานในสวน ปลูกฝังเด็กรักการอ่าน พ่อแม่ชื่นชมลูกมีพัฒนาการดีขึ้น

เพราะเห็นว่าเด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบัน หันไปบริโภคสื่อสมัยใหม่ จนทำให้ละทิ้งการอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ มูลนิธิเอสซีจีจึงมุ่งวางรากฐานและสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนตั้งแต่วัยแรกเกิด-6 ปี ด้วยการจัดเทศกาล “นิทานในสวน”

ทั้งนี้การเล่านิทาน อ่านหนังสือ ให้เด็กปฐมวัยฟังเป็นประจำ เป็นวิธีการที่ง่าย ประหยัด และทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งในการพัฒนาเด็กให้มีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และสมาธิที่ยาวนานขึ้น เพียงวันละ 10-15 นาทีก็สามารถสร้างช่วงเวลาที่มีคุณภาพของครอบครัว เพราะเด็กจะได้เรียนรู้ภาษา ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ผ่านน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรัก และได้ซึมซับรสนิยมทางศิลปะจากหนังสือภาพตั้งแต่ยังเล็ก ส่งผลดีต่อบุคลิกภาพ พัฒนาการทางอารมณ์ รวมถึงทักษะทางสังคม เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เด็กติดเกม ติดเพื่อน หรือลุ่มหลงไปกับสิ่งยั่วยุต่างๆเมื่อโตขึ้น

เพื่อขยายแนวคิดเรื่องการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้วยหนังสือสู่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และสังคมในวงกว้าง มูลนิธิเอสซีจีจึงจัด “เทศกาลนิทานในสวน” ขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยผู้ปกครองที่เคยร่วมงานนิทานในสวนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เด็กๆมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภายหลังจากที่ได้ใช้หนังสือภาพกับลูกเป็นประจำ ทั้งการรู้จักคำศัพท์ การอ่านออกเสียง การสะกดคำ ตลอดจนมีสมาธิในการตั้งใจฟัง รู้จักอดทนรออย่างใจเย็น และรักการอ่านมากขึ้น โดยปีนี้ “นิทานในสวน” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 8 โดยกำหนดจัดต่อเนื่องเป็นเวลา 10 สัปดาห์ช่วงเย็นวันเสาร์ ณ  สวนสาธารณะในกรุงเทพฯ รวม 3 แห่ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค.-11 ก.พ. ณ สวนลุมพินี บริเวณสวนปาล์ม วันที่ 18 ก.พ.-10 มี.ค. ย้ายไปจัดที่สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) และวันที่ 17-24 มี.ค. ที่สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จตุจักร.